จันทร์-ศุกร์8.00 น. - 16.00 น.โทร037 561 103


Latest news

โรคไม่ติดเชื้อ-1200x1200.jpg
05/ก.ค./2024

โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-Communicable Diseases) เป็นกลุ่มโรคที่กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โรคเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่มักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้แนะนำ 6 วิธีง่ายๆ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค NCDs ดังนี้:

  1. ขยับร่างกายบ่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่นั่งนานๆ การนั่งทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ควรหาโอกาสลุกขึ้นยืด-เหยียดร่างกาย หรือเดินไปมาทุกๆ ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดความเสี่ยงของโรคที่เกิดจากการนั่งนานๆ
  2. เลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักและผลไม้ ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และเกลือสูง แทนที่ด้วยผักและผลไม้ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การปรับเปลี่ยนนิสัยการกินเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
  3. พักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 7 – 8 ชั่วโมง การนอนหลับที่เพียงพอมีความสำคัญต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ลดความเครียด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ควรพยายามนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืนอย่างสม่ำเสมอ
  4. ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบ ความเครียดเรื้อรังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรค NCDs หลายชนิด การหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลง ทำสมาธิ หรืองานอดิเรกต่างๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้ได้
  5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 150 นาที การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจ ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือออกกำลังกายแบบหนัก 75 นาทีต่อสัปดาห์
  6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรค NCDs หลายชนิด รวมถึงโรคตับ โรคหัวใจ และมะเร็งหลายชนิด การลด ละ เลิก พฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวได้อย่างมาก

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามคำแนะนำเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากทำได้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรค NCDs และนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว การเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนทีละเล็กละน้อยและค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นขึ้น จะช่วยให้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) : ThaiHealth


ไฟฟ้าดูด-1200x1908.jpg
12/มิ.ย./2024

ในช่วงที่เกิดน้ำท่วม นอกจากความเสียหายต่อทรัพย์สินและการดำรงชีวิตแล้ว ยังมีอันตรายร้ายแรงที่แฝงตัวมากับน้ำ นั่นคือ กระแสไฟฟ้า โดยเฉพาะในบริเวณที่มีแนวสายไฟจมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ทุกคนควรตระหนักและระมัดระวังอย่างยิ่ง

สาเหตุของอันตรายจากกระแสไฟฟ้าในน้ำท่วม:

  1. สายไฟฟ้าที่ขาดหรือชำรุดจมอยู่ใต้น้ำ
  2. อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ยังเสียบปลั๊กอยู่ถูกน้ำท่วม
  3. เสาไฟฟ้าที่โค่นล้มหรือเอนเอียงลงในน้ำ
  4. ตู้ควบคุมไฟฟ้าที่ถูกน้ำท่วม

ผลกระทบและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น:

  1. ไฟฟ้าดูด ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
  2. แผลไหม้จากกระแสไฟฟ้า
  3. กล้ามเนื้อหดเกร็ง ทำให้จมน้ำได้
  4. ระบบประสาทและหัวใจทำงานผิดปกติ

วิธีป้องกันและรับมือกับอันตรายจากไฟฟ้าในน้ำท่วม:

  1. หลีกเลี่ยงการลุยน้ำในพื้นที่ที่มีสายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า
  2. ตัดกระแสไฟฟ้าในบ้านหรืออาคารที่ถูกน้ำท่วม
  3. ไม่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆ ที่เปียกน้ำหรืออยู่ในบริเวณน้ำท่วม
  4. สวมรองเท้าบูทยางหรือรองเท้าที่เป็นฉนวนไฟฟ้าเมื่อต้องเดินในน้ำ
  5. ใช้ไฟฉายหรือไฟส่องสว่างที่ใช้แบตเตอรี่แทนอุปกรณ์ไฟฟ้า
  6. แจ้งเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าทันทีหากพบสายไฟขาดหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่อาจเป็นอันตราย
  7. อย่าพยายามซ่อมแซมระบบไฟฟ้าด้วยตนเอง ให้รอช่างผู้เชี่ยวชาญ

การปฐมพยาบาลผู้ถูกไฟฟ้าดูดในน้ำท่วม:

  1. อย่าลงไปในน้ำเพื่อช่วยเหลือโดยตรง เพราะอาจถูกไฟดูดด้วย
  2. ตัดกระแสไฟฟ้าทันทีหากทำได้
  3. ใช้วัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้า เช่น ไม้แห้ง หรือเชือกเพื่อดึงผู้ประสบภัยออกจากน้ำ
  4. เมื่อนำผู้ประสบภัยขึ้นมาแล้ว ให้ตรวจสอบการหายใจและการเต้นของหัวใจ
  5. ทำ CPR หากจำเป็น และรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

การตระหนักถึงอันตรายจากกระแสไฟฟ้าในน้ำท่วมเป็นสิ่งสำคัญที่อาจช่วยรักษาชีวิตของคุณและคนรอบข้างได้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และไม่ประมาทในการเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแนวสายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า การระมัดระวังและการเตรียมพร้อมจะช่วยให้คุณและครอบครัวปลอดภัยจากภัยไฟฟ้าในช่วงวิกฤตน้ำท่วมได้

ด้วยความปรารถนาดี…..
โรงพยาบาลเขาฉกรรจ์


ตกงาน-1200x1625.jpg
02/มิ.ย./2024

ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout Syndrome เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตการทำงานปัจจุบัน แม้จะไม่ใช่โรคซึมเศร้าโดยตรง แต่เป็นภาวะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจอันเนื่องมาจากความเครียดเรื้อรังในการทำงาน ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมาก

อาการของภาวะหมดไฟ:

  • รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ
  • ขาดแรงจูงใจในการทำงาน
  • ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
  • รู้สึกแยกตัวจากงานและเพื่อนร่วมงาน
  • มีทัศนคติเชิงลบต่องานและสภาพแวดล้อมการทำงาน

6 วิธีดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อเผชิญกับภาวะหมดไฟ:

  1. แบ่งงานเป็นส่วนย่อย: การแบ่งงานใหญ่ออกเป็นส่วนย่อยๆ จะช่วยให้รู้สึกว่างานนั้นจัดการได้และไม่น่ากลัวจนเกินไป
  2. สร้างความคิดเชิงบวก: ใช้เวลาว่างคิดถึงสิ่งดีๆ ในชีวิต เพื่อสร้างสมดุลทางอารมณ์และจิตใจ
  3. ท้าทายความคิดตัวเอง: สร้างความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถทำได้ เปลี่ยนมุมมองจากความยากลำบากเป็นความท้าทาย
  4. เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย: การออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้นช่วยเผาผลาญพลังงานลบในสมองและกระตุ้นการหลั่งสารเคมีที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้น
  5. วางแผนล่วงหน้า: จัดทำรายการสิ่งที่ต้องทำ วางแผนการเดินทาง และเตรียมสิ่งของที่จำเป็น เพื่อลดความวิตกกังวลและสร้างความรู้สึกควบคุมสถานการณ์ได้
  6. พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ: แบ่งปันความรู้สึกกับเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจ หรือโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323

ข้อควรระวัง: หากพบว่าตนเองเริ่มมีอาการเศร้า หดหู่ เบื่อหน่ายสิ่งรอบตัว รู้สึกทุกข์ทรมานกับการใช้ชีวิต หรือมีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตโดยเร็ว เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของภาวะซึมเศร้าที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

การรับมือกับภาวะหมดไฟเป็นทักษะสำคัญในการทำงานยุคปัจจุบัน การตระหนักรู้ถึงสัญญาณเตือนและมีวิธีจัดการที่เหมาะสมจะช่วยให้เราสามารถรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมว่าการดูแลสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การดูแลสุขภาพกาย และไม่ควรลังเลที่จะขอความช่วยเหลือเมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้ด้วยตนเอง

ด้วยความปรารถนาดี หวังให้ทุกท่านมีสุขภาพจิต สุขภาพร่างกายแข็งแรง
โรงพยาบาลเขาฉกรรจ์


น้ำท่วมขัง.jpg
31/พ.ค./2024

ในช่วงฤดูฝนและน้ำท่วม นอกจากความเสียหายต่อทรัพย์สินแล้ว ยังมีภัยสุขภาพที่แฝงมากับน้ำท่วมขัง ซึ่งประชาชนควรระมัดระวังและป้องกันตนเอง กรมอนามัยได้แนะนำ 5 ภัยสุขภาพสำคัญและวิธีป้องกัน ดังนี้:

  1. โรคฉี่หนู
    • หลีกเลี่ยงการลุยน้ำท่วมขัง
    • ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ
    • ผึ่งรองเท้าและถุงเท้าให้แห้งเพื่อป้องกันเชื้อรา
    • หลังลุยน้ำ ให้รีบล้างเท้าและเช็ดให้แห้งสนิททันที
  2. โรคน้ำกัดเท้า
    • ใช้วิธีป้องกันเช่นเดียวกับโรคฉี่หนู
    • หลีกเลี่ยงการลุยน้ำนาน ๆ
    • สวมรองเท้าบูทหรือรองเท้ากันน้ำเมื่อจำเป็นต้องลุยน้ำ
  3. โรคตาแดง
    • หากน้ำกระเด็นเข้าตา อย่าขยี้ตา ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาด
    • ล้างมือให้สะอาดหลังสัมผัสน้ำท่วมขัง
    • หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสดวงตา
    • หากเป็นโรคตาแดง ไม่ควรใช้อุปกรณ์ของใช้ร่วมกับผู้อื่น
  4. โรคอุจจาระร่วง
    • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่น รสชาติผิดปกติ หรือเน่าเสีย
    • ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
    • เก็บอาหารให้มิดชิด ป้องกันแมลงวัน แมลงสาบ หรือหนู
  5. แมลงและสัตว์มีพิษกัดต่อย
    • รื้อและจัดระเบียบสิ่งของที่กองสุมภายในบ้าน เพื่อป้องกันสัตว์มีพิษที่อาจมาหลบซ่อน
    • ทำความสะอาดบ้านให้เป็นระเบียบ ไม่อับชื้น
    • เคาะรองเท้าทุกครั้งก่อนสวมใส่ เผื่อมีสัตว์มีพิษซ่อนอยู่

ข้อแนะนำทั่วไปในช่วงน้ำท่วม:

  • หลีกเลี่ยงการลุยน้ำท่วมขังโดยไม่จำเป็น
  • ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่และสะอาด
  • หมั่นล้างมือและเท้าให้สะอาดอยู่เสมอ
  • สังเกตอาการผิดปกติของตนเองและคนในครอบครัว หากมีอาการน่าสงสัยให้รีบพบแพทย์

การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยในช่วงน้ำท่วม และรักษาสุขภาพของตนเองและครอบครัวให้ปลอดภัย

ข้อมูลโดย: กองอนามัยฉุกเฉิน กรมอนามัย

ท่านสามารถติดตามข้อมูลสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ Facebook กรมอนามัย และเว็บไซต์ https://multimedia.anamai.moph.go.th/

ด้วยความปรารถนาดี หวังให้ประชาชนทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากภัยสุขภาพในช่วงน้ำท่วม
โรงพยาบาลเขาฉกรรจ์


เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว-1200x1697.jpg
21/พ.ค./2024

ในช่วงที่สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง สลับระหว่างร้อนจัดและฝนตกชุก สุขภาพของเราอาจได้รับผลกระทบได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ไข้หวัด และภูมิแพ้อากาศ กรมอนามัยจึงขอแนะนำ 5 วิธีง่ายๆ เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงอากาศแปรปรวน ดังนี้:

  1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำเปล่าวันละ 6-8 แก้ว เพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่และช่วยในการขับสารพิษ
  2. รับประทานอาหารที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน:
    • เลือกอาหารที่ปรุงด้วยสมุนไพรไทย เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา ซึ่งช่วยเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกาย
    • รับประทานผักและผลไม้ตามฤดูกาล เช่น มะเขือเปราะ มะนาว ถั่วพู ชะอม ผักหวาน กล้วยน้ำว้า ส้มโอ และเงาะ ซึ่งช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหวัดและเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
  3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: ควรออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ สัปดาห์ละ 3-5 วัน วันละ 30 นาที เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวม
  4. พักผ่อนให้เพียงพอ:
    • ผู้ใหญ่ทั่วไปควรนอนหลับ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
    • เด็กเล็กควรนอน 11-14 ชั่วโมงต่อวัน
    • ผู้สูงอายุควรนอน 7-8 ชั่วโมงต่อวัน การนอนหลับที่เพียงพอช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  5. ดูแลร่างกายให้อบอุ่น: หากตัวเปียกฝน ให้รีบเช็ดตัวให้แห้งและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออกทันที เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ

การปฏิบัติตามคำแนะนำทั้ง 5 ข้อนี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยในช่วงที่อากาศแปรปรวน นอกจากนี้ ยังควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย และรีบพบแพทย์หากมีอาการน่ากังวล

ถึงแม้สภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงบ่อย แต่เราสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ กรมอนามัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนไทยทุกคนจะมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง พร้อมรับมือกับทุกสภาพอากาศ ด้วยความรักและห่วงใย เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านดูแลสุขภาพกันอย่างดีนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี
โรงพยาบาลเขาฉกรรจ์


เปิดเทอม.jpg
17/พ.ค./2024

การเปิดภาคเรียนใหม่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นทั้งสำหรับนักเรียนและผู้ปกครอง แต่ก็อาจนำมาซึ่งความวุ่นวายและความเสี่ยงด้านความปลอดภัยบนท้องถนน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนของการรับ-ส่งนักเรียน เพื่อให้มั่นใจว่าบุตรหลานของท่านจะเข้าโรงเรียนอย่างปลอดภัย เราขอแนะนำวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้:

  1. จอดรถให้ถูกที่:
    • ใช้จุดรับ-ส่งที่โรงเรียนหรือตำรวจจราจรกำหนดไว้เท่านั้น
    • ห้ามรับ-ส่งนักเรียนในช่องทางเดินรถที่สองหรือกลางถนนโดยเด็ดขาด
  2. ระวังการจอดรถ:
    • ไม่จอดรถแช่ในช่วงเวลาเร่งด่วน (เช้า 6.00-9.00 น. และเย็น 16.00-20.00 น.)
    • ห้ามจอดรถบดบังทางม้าลาย เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผู้ข้ามถนน
    • ไม่จอดรถในที่ห้ามจอดหรือจอดซ้อนคัน
  3. มีน้ำใจในการขับขี่:
    • ไม่ขับรถปาดหน้าคันอื่นขณะต่อแถว ณ จุดรับ-ส่งนักเรียน
    • ไม่ใช้ความเร็วในเขตโรงเรียน
  4. วางแผนการเดินทาง:
    • ออกจากบ้านล่วงหน้าอย่างน้อย 30 นาที โดยเฉพาะในวันเปิดเทอมวันแรก
    • นัดเวลาและสถานที่รับ-ส่งให้ชัดเจน
    • แนะนำให้นักเรียนมารอ ณ จุดรับ-ส่งให้ตรงเวลา
  5. สอนเรื่องความปลอดภัย:
    • ฝึกให้นักเรียนสังเกตสิ่งรอบข้างก่อนเปิดประตูลงจากรถ

ข้อควรจำ:

  • ไม่ควรรีบร้อนจนเกิดความประมาท
  • ตระหนักถึงความปลอดภัยอยู่เสมอ
  • ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การรับ-ส่งนักเรียนเป็นไปอย่างปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าโรงเรียนอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการปลูกฝังวินัยจราจรและความรับผิดชอบต่อสังคมให้กับเยาวชนอีกทางหนึ่ง

ขอให้ทุกท่านมีความสุขและปลอดภัยในการเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ และหวังว่าคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้การรับ-ส่งนักเรียนเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยสำหรับทุกคน


ลมแดด.jpg
01/พ.ค./2024

ในช่วงที่อากาศร้อนจัด โรคลมแดด (Heatstroke) เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ได้ออกมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการลดความเสี่ยงและการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคนี้

โรคลมแดดเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนระบบระบายความร้อนของร่างกายไม่สามารถทำงานได้ทัน ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความสามารถในการปรับอุณหภูมิร่างกายลดลงตามวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือไม่สามารถดูแลตนเองได้

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคลมแดดประกอบด้วย:

  1. อุณหภูมิร่างกายสูงตั้งแต่ 40.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป โดยอาจไม่มีเหงื่อหรือมีเหงื่อออกแต่ตัวเย็น
  2. อาการผิดปกติทางสมอง เช่น สับสน เพ้อ เวียนศีรษะ ตอบสนองช้า หรือชัก
  3. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนจัดหรือออกกำลังกายหนัก
  4. กระหายน้ำอย่างมาก

เพื่อลดความเสี่ยง กรมการแพทย์แนะนำ 7 วิธีสำหรับผู้สูงอายุ ดังนี้:

  1. หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ร้อนจัด
  2. สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
  3. อยู่ในที่มีพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ
  4. อาบน้ำเย็นบ่อยๆ
  5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ (น้ำเปล่า น้ำผัก ผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่กรณีเสียเหงื่อมาก)
  6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
  7. ลดการออกกำลังกายหรือทำงานกลางแจ้งเป็นเวลานาน

ในกรณีที่พบผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคลมแดด การปฐมพยาบาลเบื้องต้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรทำดังนี้:

  • เคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าที่ร่ม
  • จัดให้ผู้ป่วยนอนหงาย
  • ถอดเสื้อผ้าออก
  • ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามข้อพับ รักแร้ และขาหนีบ
  • ใช้พัดลมช่วยระบายความร้อน
  • รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

การตระหนักถึงความเสี่ยงและการปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคลมแดดในผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต


Copyright by Khao Chakan Hospital. All rights reserved.